หนึ่งในคำที่น่ากลัวที่สุดสำหรับนักเทรด ไม่ว่าจะมือใหม่หรือมือเก่า คือคำว่า “Margin Call” หรือ “พอร์ตแตก”
เราทุกคนเคยผ่านจุดนั้น หรืออย่างน้อยก็กลัวมันสุดหัวใจ… จุดที่ตลาดเหวี่ยงผิดทางรุนแรง จนเงินค้ำประกัน (Margin) ที่เราวางไว้หมดลง และโบรกเกอร์บังคับปิดออเดอร์ทั้งหมดของเรา ทำให้เงินทุนที่สะสมมาหายไปในพริบตา
มันเกิดขึ้นเพราะอะไรครับ? เพราะเราใช้ “Leverage” หรือ “Margin” ที่โบรกเกอร์ให้มา… เราใช้เงินเกินตัว (มี 1,000 แต่อยากเทรด 100,000)
แต่ถ้าแดดดี๊จะบอกว่า… มันมีปรัชญาการเทรดหนึ่ง ที่ถูกออกแบบมาเพื่อ “ตัด” สาเหตุของปัญหาทั้งหมดนี้ทิ้งไปอย่างถาวรล่ะครับ?
ปรัชญานั้นเรียกว่า “Close System” (ระบบปิด) ครับ
Close System คืออะไร?
ถ้าจะให้แดดดี๊สรุปให้สั้นและตรงประเด็นที่สุด…
“หัวใจของ Close System คือ… เราไม่ใช้ Margin แค่นั้นเลยครับ”
มันคือการเทรดที่ Leverage 1:1 เสมอ พูดง่ายๆ คือ มีเงินเท่าไหร่ ก็เทรดเท่านั้น
- ถ้าในพอร์ตเรามีเงิน 1,000 USD… เราก็จะซื้อสินทรัพย์ (เช่น ทองคำ, น้ำมัน) ได้แค่ในมูลค่า 1,000 USD เท่านั้น
- เราจะไม่ “ยืม” เงินโบรกเกอร์มาเทรดเพิ่มเป็น 10,000 หรือ 100,000 USD เด็ดขาด
เปรียบเทียบให้เห็นภาพ: เราคือ “เจ้าของร้านทอง”
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น แดดดี๊อยากให้คิดภาพว่าเราคือ “เจ้าของร้านทอง” ครับ
- การเทรดทั่วไป (ใช้ Margin): เหมือนเราไป “ยืม” ทอง 100 บาท มาเก็งกำไร โดยวางเงินมัดจำแค่ 1 บาท พรุ่งนี้ราคาทองตกไป 1 บาท… เราก็ “เจ๊ง” ทันที เงินมัดจำ 1 บาทนั้นหายไปเลย
- การเทรดแบบ Close System: เหมือนเราเอาเงินสด 100 บาท ไป “ซื้อ” ทอง 100 บาท มาเก็บไว้ในตู้เซฟของร้านเราจริงๆ
คำถามคือ… ถ้าซื้อมาแล้วราคาทองมันตกหนักล่ะ? เกิดอะไรขึ้น?
คำตอบคือ: ก็ไม่เกิดอะไรขึ้นครับ!
เราก็แค่ “ติดดอย” ทอง 100 บาทนั้น… แต่เรา “ไม่ได้แพ้” หรือ “ไม่ได้เจ๊ง” พอร์ตเราไม่แตก เพราะไม่มี “เจ้าหนี้” (โบรกเกอร์) คนไหน มาบังคับยึดทองของเราไปขายขาดทุนได้
ตราบใดที่เรายังไม่ขาย… เราก็ยังไม่ขาดทุนจริง เราก็แค่กอดทอง 100 บาทนั้นไว้ รอวันที่ราคามันกลับขึ้นมา… หรือทยอยซื้อเพิ่มตอนมันถูก (ซึ่งเป็นหลักการของ Grid ที่เราใช้ต่อยอด)
ทำไม Close System ถึงเป็นกฎเหล็กที่ทำให้ “พอร์ตไม่แตก”
แนวคิดนี้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจาก “พี่ต้าน Mudley” ซึ่งเป็นปรัชญาหลักในการบริหารพอร์ต
เหตุผลที่มันเปลี่ยนเกมการเทรดโดยสิ้นเชิง มีดังนี้:
- ไม่มีการบังคับขาย (No Margin Call) นี่คือข้อดีที่ใหญ่ที่สุด เพราะเราไม่ได้ “ยืม” ใครมาเทรด จึงไม่มี “เจ้าหนี้” มาบังคับปิดออเดอร์เราได้ ความเสี่ยงเดียวของเราคือวันที่ “โบรกเกอร์ล่มสลาย” หรือ “สินค้านั้นมูลค่าเป็น 0” (ซึ่งทองคำหรือค่าเงินไม่เป็น 0 แน่ๆ)
- เวลาคือเพื่อนของเรา (Time is Your Friend) ในระบบที่ใช้ Margin… เวลาคือศัตรู (เพราะมีค่า Swap หรือเสี่ยงโดน Margin Call ตลอดเวลา) แต่ในระบบ Close System… เวลาคือเพื่อนแท้ ตลาดจะลงไปนานแค่ไหน เราก็แค่ “รอ” ครับ รอวันที่มันกลับมาเป็นกำไร
- มันคือ “การลงทุน” ไม่ใช่ “การพนัน” เรากำลัง “สะสมสินทรัพย์” จริงๆ ตามกำลังเงินที่เรามี ไม่ใช่การ “แทง” ว่าราคาจะขึ้นหรือลงในระยะสั้นโดยใช้เงินเกินตัว
“ความน่าเบื่อ” ที่ต้องยอมรับ
แน่นอนว่าปรัชญานี้มี “ข้อเสีย” ที่ชัดเจนมากครับ… “มันช้าครับ”
เพราะเราไม่ใช้ Leverage มันจึงไม่รวยเร็ว ไม่หวือหวา กำไรต่อวันอาจจะดูน้อยนิดเมื่อเทียบกับสายซิ่งที่ใช้ Leverage หนักๆ
Close System คือระบบที่ “น่าเบื่อ” แต่มัน “ยั่งยืน” ครับ
สรุป: Close System เหมาะกับใคร?
ปรัชญานี้ไม่ได้เหมาะกับทุกคน… แต่มันเหมาะสำหรับนักลงทุนที่:
- มองการเทรดเป็นการ “ทำธุรกิจ” หรือ “การลงทุนระยะยาว”
- เบื่อการพอร์ตแตกซ้ำซาก และอยากออกจากวงจรนี้ถาวร
- เป็นคนทำงานประจำที่ “ไม่มีเวลา” เฝ้าจอ และไม่อยากเครียด
- เน้น “การอยู่รอด” (Survival) มากกว่า “กำไรสูงสุด” (Max Profit)
และนี่คือปรัชญาหัวใจหลักของ “Close System” ครับ… มันคือ ‘เกราะ’ ที่แข็งแกร่งที่สุด ที่จะปกป้องพอร์ตของเราจาก “Margin Call” ทำให้เรา “พอร์ตไม่แตก” และเปลี่ยน “เวลา” ให้กลายเป็น “เพื่อน” ของเรา
แต่… ถ้าเรามีแค่ ‘เกราะ’ ที่แข็งแกร่งอย่างเดียว มันก็อาจจะ ‘ช้า’ และ ‘น่าเบื่อ’ ไปหน่อยใช่ไหมครับ?
สำหรับใครที่อ่านจบแล้ว “เข้าใจ” และ “อิน” กับปรัชญานี้… และสนใจอยากรู้ว่า แดดดี๊เอา “เครื่องจักรผลิตเงินสด” (Grid Bot) มาประยุกต์ใช้ร่วมกับ ‘เกราะ’ นี้ยังไง…
เพื่อสร้างระบบที่ทั้ง ‘ปลอดภัย’ (ไม่แตก) และ ‘ทำกำไร’ (จากความผันผวน) ได้ในเวลาเดียวกัน…
แดดดี๊ได้เขียน ‘พิมพ์เขียว’ (Blueprint) ฉบับเต็มไว้ให้แล้วในบทความต่อไปนี้ครับ