ใครว่าการจัดพอร์ตแบบมืออาชีพต้องซับซ้อน?
หนังสือ “The Ivy Portfolio” โดย Mebane T. Faber และ Eric W. Richardson ได้เปิดเผยกลยุทธ์การจัดพอร์ตที่มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกอย่าง Yale และ Harvard ใช้บริหารกองทุน Endowment Fund ที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์
แก่นแท้ของพอร์ตนี้ไม่ใช่การ “ชนะตลาด” แต่เป็นการ “อยู่รอดในตลาดหมี” ครับ
แดดดี๊สรุป 20 ข้อคิดสำคัญที่มือใหม่ก็สามารถนำไปใช้จัดพอร์ตลงทุนของตัวเองแบบมีหลักการได้ทันที มาให้ตามนี้ครับ
20 ข้อคิดจัดพอร์ตแบบ Endowment Fund
ผมขอจัดกลุ่มข้อคิดออกเป็น 4 หลักการหลัก ที่ช่วยให้พอร์ตของคุณ “รอดทุกวิกฤต” ครับ
หลักการที่ 1: โครงสร้าง (The Core Asset Allocation)
- 1. ใช้พอร์ตของ Endowment Fund เป็นต้นแบบ: Harvard, Yale, และ Stanford มีสไตล์การจัดพอร์ตแบบกระจายความเสี่ยงสูง ในสินทรัพย์หลากหลายทั้งในและต่างประเทศ
- 2. สัดส่วนพอร์ตต้องมีสินทรัพย์หลักครบทั้ง 5 กลุ่ม:
- หุ้นสหรัฐฯ
- หุ้นต่างประเทศ
- ตราสารหนี้ (Bond)
- อสังหาริมทรัพย์ (REITs)
- สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity)
- 3. อย่าทุ่มหมดหน้าตักกับสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง: พอร์ตที่มีความเสี่ยงต่ำจะเฉลี่ยลงทุนเท่าๆ กันในแต่ละกลุ่ม เพื่อป้องกันความผันผวน
- 4. Real Assets ช่วยต้านเงินเฟ้อได้ดี: สินทรัพย์อย่าง REITs และ Commodity มักเคลื่อนไหวตรงข้ามกับหุ้น จึงช่วยกระจายความเสี่ยงได้อย่างดี
หลักการที่ 2: เครื่องมือและวิธีเริ่ม (The Tools & Start)
- 5. ใช้ ETF ในการกระจายความเสี่ยงได้ง่ายและต้นทุนต่ำ: เช่น VTI, VXUS, BND, VNQ, DBC เป็นต้น (คุณไม่จำเป็นต้องเลือกหุ้นเป็นรายตัว)
- 6. แค่เริ่มต้นด้วย 5 สินทรัพย์หลัก ก็เพียงพอสำหรับมือใหม่: ไม่จำเป็นต้องมีพอร์ตซับซ้อน มี 5 สินทรัพย์หลัก ก็ครอบคลุมเศรษฐกิจโลกได้แล้ว
- 7. สามารถนำแนวทางนี้ไปประยุกต์ใช้ได้ทั่วโลก: ถึงแม้ผู้เขียนจะใช้ ETF ของสหรัฐฯ แต่หลักคิดสามารถนำไปใช้กับตลาดหุ้นไทยหรือทั่วโลกได้
- 8. แนวคิด Core-Satellite ก็เอามาใช้ได้:
- Core: ลงทุนใน 5 สินทรัพย์หลักแบบกระจาย
- Satellite: อาจใส่หุ้นเดี่ยวหรือกองทุนธีมเฉพาะที่เชื่อมั่น
หลักการที่ 3: ระบบ (The System & Discipline)
- 9. กลยุทธ์ Timing คือการใช้ Moving Average เพื่อจับจังหวะเข้า-ออก: ผู้เขียนเสนอการใช้เส้น MA 10 เดือนในการดูแนวโน้มระยะกลาง เพื่อหลีกเลี่ยงตลาดขาลงแรง
- 10. ปรับพอร์ตตามแนวโน้ม ไม่ใช่ตามอารมณ์: ถ้าเส้นราคา ETF หลุดเส้น MA 10 เดือน ก็อาจพิจารณาขายออกเพื่อรอจังหวะใหม่
- 11. สามารถผสมการลงทุนแบบ “DCA + Trend Following” ได้: ถ้าไม่อยากจับจังหวะ ก็สามารถถัวเฉลี่ยรายเดือนไปเรื่อยๆ แต่ถ้าอยากเพิ่มประสิทธิภาพ ก็ใช้ MA จับเทรนด์เพิ่ม
- 12. จุดสำคัญของระบบคือ “วินัย” ไม่ใช่การพยากรณ์ตลาด: ต้องยึดตามกฎการเข้า-ออกอย่างเคร่งครัด อย่าปรับพอร์ตตามความรู้สึก
หลักการที่ 4: ผลลัพธ์และวิสัยทัศน์ (The Result & Vision)
- 13. เป้าหมายไม่ใช่แค่ชนะตลาด แต่ต้อง “อยู่รอดในตลาดหมี” ด้วย: พอร์ตแบบ Ivy เน้นรักษาเงินต้น และคุมความเสี่ยงให้ต่ำ แม้กำไรจะไม่หวือหวาแต่ “รอดทุกวิกฤต”
- 14. ลด Drawdown สำคัญกว่าทำกำไรสูงสุด: พอร์ตแบบ Ivy เน้นรักษาเงินต้น และคุมความเสี่ยงให้ต่ำ
- 15. Backtest ย้อนหลังบอกว่า พอร์ตแบบนี้ช่วยหลีกเลี่ยงการขาดทุนหนักในปี 2000 และ 2008 ได้จริง: พอร์ต Ivy ลดลงน้อยกว่าตลาดมากในช่วงวิกฤต Dotcom และ Subprime Crisis
- 16. มี Data Backtest รองรับว่าวิธีนี้ใช้ได้จริงกับอดีตหลายสิบปี: พอร์ต Ivy Portfolio มีผลตอบแทนใกล้เคียง S&P500 แต่มีความผันผวนน้อยกว่า
- 17. เน้นการลงทุนระยะยาวมากกว่าการเทรดสั้นๆ: การลงทุนแบบ Ivy Portfolio มักมีรอบปรับพอร์ตเพียงเดือนละครั้งหรือไตรมาสละครั้ง
- 18. พอร์ตแบบนี้เหมาะกับคนที่ไม่อยากเฝ้าหน้าจอทั้งวัน: เพราะใช้ระบบที่ตัดสินใจตามสัญญาณ ทำให้ลดความเครียดและอารมณ์ในการลงทุน
- 19. เหมาะสำหรับคนที่ไม่เก่งเลือกหุ้น แต่เก่งวางแผนภาพใหญ่: แค่เลือก ETF และจัดสัดส่วนให้ดี ก็ลงทุนได้อย่างมือโปร
- 20. ลงทุนแบบ Endowment = เน้น “ความยั่งยืน” มากกว่าผลตอบแทนระยะสั้น: การลงทุนที่ดีไม่ใช่แค่รวยเร็ว แต่คือรอดนาน และเติบโตได้เรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง
บทสรุป (จากแดดดี๊)
ใครอยากเริ่มต้นจัดพอร์ตลงทุนของตัวเองแบบมีหลักการ อ่านเล่มนี้จบแล้วจะมองพอร์ตตัวเองเปลี่ยนไปเลยครับ
The Ivy Portfolio สอนให้คุณเลิกพยายามเป็นนักเก็งกำไรที่แม่นที่สุด… แล้วมาเป็น “ผู้จัดการกองทุน” ที่ฉลาดที่สุดแทน
รวม 12 สุดยอดหนังสือเทรดเดอร์ต้องอ่าน
เล่มนี้เชื่อมโยงกับ
[ซีรีส์ DCA]และ[รีวิว The Changing World Order](ที่พูดเรื่องการกระจายความเสี่ยง)